medicalfocusth

คำแนะนำการใช้กรดผลไม้
คำแนะนำการใช้กรดผลไม้
สถาบันโรคผิวหนัง กรมการแพทย์ ให้คำแนะนำเรื่อง กรดผลไม้ หรือสารสกัดจากผลไม้หรือพืชที่มีความเป็นกรดจัดอยู่ในกลุ่ม AHA (Alpha hydroxy acid) สามารถนำมาใช้เพื่อทำให้เกิดการผลัดผิวเก่าที่อาจจะหลุดร่อนไม่พร้อมกันตามธรรมชาติเผยผิวด้านล่างที่มีความสดใสมากกว่า จึงทำให้สีผิวกระจ่าง ลดความหมองคล้ำได้ แต่อาจมีข้อจำกัดจึงต้องคำนึงถึงปัจจัยในการเลือกใช้ซึ่งมีอยู่หลายวิธีและควรเลือกใช้ให้เหมาะสมกับสภาพผิว

นายแพทย์สกานต์ บุนนาค รองอธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า การใช้สารจากธรรมชาติในการดูแลสุขภาพร่างกายกำลังเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลาย รวมไปถึงการนำมาใช้เพื่อเพิ่มความงาม มีการนำน้ำมะนาว หรือกรดผลไม้ มาใช้กับผิวเพื่อให้มีความกระจ่างใส ลดรอยด่างดำ การนำสารจากธรรมชาติมาใช้กับผิวหนังนั้นมีทั้งข้อดีและข้อเสีย ควรอยู่ภายใต้ความดูแลของแพทย์ผิวหนังที่มีประสบการณ์ในการคัดเลือกผู้ป่วยตามสภาพผิวที่สามารถใช้ความเข้มข้นของกรดต่างๆ ตามปัญหาที่มี เพราะหากเกิดปัญหาระคายเคือง ผิวหนังอักเสบแล้วจะทำให้เกิดผลข้างเคียง กลายเป็นปัญหาใหม่มากยิ่งขึ้น

นายแพทย์ปุณวิศ สุทธิกุลณเศรษฐ์ นายแพทย์ชำนาญการพิเศษ สถาบันโรคผิวหนัง กล่าวเพิ่มเติมว่า ปัจจัยที่ต้องคำนึงถึงในการเลือกที่จะใช้สารสกัดจากผลไม้ คือ ความเป็นกรดจะระคายเคืองผิวได้และก่อให้เกิดการอักเสบ เราไม่สามารถทราบได้เลยว่าน้ำมะนาวที่ใช้มีความเข้มข้นมากน้อยเพียงใด และความเข้มข้นที่เหมาะสมเท่าไหร่ที่จะสามารถผลัดผิวได้ และไม่ก่อให้เกิดการระคายเคือง เมื่อเกิดการระคายเคืองที่ผิวจะเกิดการอักเสบตามมา และอาจจะทำให้เกิดรอยดำคล้ำตามหลังการอักเสบ ซึ่งพบได้บ่อยในผิวคนเอเชีย การทาเพื่อผลัดผิวจำเป็นจะต้องมีหลักการทาที่ถูกต้องหลีกเลี่ยงบริเวณผิวอ่อนบางที่อาจจะเกิดการระคายเคืองจากกรดได้ง่าย และเพิ่มการทาในบริเวณที่หนาและต้องการผลัดผิวให้มากขึ้น หากปฏิบัติไม่ถูกอาจทำให้เกิดการระคายเคืองและอักเสบได้ ในกรดผลไม้บางชนิดจะมีสารบางอย่างที่เรียกว่า Psoralen ซึ่งหากโดนแสงแดดจะทำให้เกิดการอักเสบของผิวหนังที่ทิ้งรอยดำไว้ ที่เรียกว่า Phytophoto dermatitis ซึ่งรอยคล้ำชนิดนี้รักษาค่อนข้างยากและใช้เวลานานกว่าจะดีขึ้น

อย่างไรก็ตามปัญหาความหมองคล้ำอาจจะไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยการใช้กรดผลไม้เพียงอย่างเดียว หากเป็นมากขึ้นต้องให้แพทย์ผิวหนังทำการตรวจวินิจฉัยและเลือกการรักษาที่เหมาะสมได้ตรงกับปัญหาที่มีอยู่ ทั้งนี้การรักษาอาจเป็นวิธีผสมผสานขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของผู้รักษา