medicalfocusth
กรมควบคุมโรค แถลงข่าว “กันยาใส่ใจ ห่างไกลโรคและภัยสุขภาพ” พร้อมแนะวิธีดูแลตนเอง
×
วันที่ 10 กันยายน 2568 แพทย์หญิงจุไร วงศ์สวัสดิ์ นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ โฆษกกรมควบคุมโรค และนายแพทย์วีรวัฒน์ มโนสุทธิ นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ โฆษกกรมควบคุมโรค ดำเนินการแถลงข่าวในหัวข้อ “กันยาใส่ใจ ห่างไกลโรคและภัยสุขภาพ” พร้อมแนะวิธีป้องกันตนเองจากโรคและภัยสุขภาพ
10 โรคติดต่อที่พบบ่อยใน 1 เดือนที่ผ่านมา โดยโรคที่พบผู้ป่วยบ่อยในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ได้แก่ โรคอุจจาระร่วง โรคไข้หวัดใหญ่ โรคปอดอักเสบ โรคมือเท้าปาก อาหารเป็นพิษ โรคโควิด 19 โรคไข้เลือดออก โรคติดเชื้อไวรัส RSV โรคสุกใส โรคซิฟิลิส และโรคที่พบผู้เสียชีวิตบ่อยในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ได้แก่ โรคเมลิออยโดสิส โรคไข้หูดับ โรคเลปโตสไปโรสิส โรคปอดอักเสบ โรคโควิด 19 โรคไข้เลือดออก โรคอุจจาระร่วง โรคไข้หวัดใหญ่
โรคไข้หวัดใหญ่ วันที่ 1 มกราคม - 4 กันยายน 2568 พบผู้ป่วยสะสม 486,562 ราย ผู้เสียชีวิต 57 ราย ในผู้เสียชีวิตมีโรคประจำตัว 36 ราย เช่น โรคไต โรคหลอดเลือดหัวใจ ความดันโลหิตสูง วัณโรคปอด ปอดอุดกั้นเรื้อรัง เป็นต้น กลุ่มอายุที่พบอัตราป่วยต่อประชาการแสนคนมากที่สุด คือ 5 - 9 ปี ทั้งนี้ สายพันธุ์ที่ตรวจพบมากที่สุดระหว่างเดือนสิงหาคม - กันยายน คือ A/H3N2
โรคปอดอักเสบ วันที่ 1 มกราคม - 4 กันยายน 2568 พบผู้ป่วยสะสม 298,223 ราย ผู้เสียชีวิต 504 ราย กลุ่มอายุที่พบอัตราป่วยต่อประชากรแสนคนมากที่สุด คือ 0 - 4 ปี และผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่อายุ 60 ปีขึ้นไป
โรคติดเชื้อไวรัสอาร์เอสวี (RSV) ปี 2568 พบผู้ป่วย 8,473 ราย ผู้เสียชีวิต 1 ราย กลุ่มอายุที่พบอัตราป่วยต่อประชาการแสนคนมากที่สุด คือ 0 - 4 ปี แนวโน้มผู้ป่วยยังคงเพิ่มสูงขึ้นและสูงกว่าปี 2567 ทั้งนี้ การติดเชื้อไวรัสอาร์เอสวีสามารถติดต่อได้ผ่านการหายใจเอาละอองเสมหะของผู้ป่วยที่ติดเชื้อ RSV เช่น น้ำมูก น้ำลาย หรือสัมผัสสิ่งของที่ปนเปื้อนสารคัดหลั่ง เช่น โต๊ะ เก้าอี้ ลูกบิดประตู ของเล่น ฯลฯ เชื้อ RSV สามารถมีชีวิตอยู่ในสิ่งแวดล้อมได้นานหลายชั่วโมง มีระยะฟักตัวอยู่ที่ 2 - 8 วัน ทั้งนี้ การรักษาโรค RSV ในปัจจุบันเป็นการรักษาตามอาการ ยังไม่มียาต้านไวรัสที่จำเพาะ แต่ปัจจุบันมีวัคซีนป้องกันในผู้สูงอายุและหญิงตั้งครรภ์ รวมถึงภูมิคุ้มกันสำเร็จรูปป้องกันในเด็กเล็กและกลุ่มเสี่ยง สามารถสอบถามเพิ่มเติมจากแพทย์ผู้รักษาได้
คำแนะนำสำหรับโรคติดเชื้อเฉียบพลันระบบทางเดินหายใจ ปฏิบัติตามมาตรการ "ปิด ล้าง เลี่ยง หยุด" คือ ปิด เมื่อไอหรือจาม ควรใช้ผ้าหรือกระดาษทิชชูปิดปากจมูกทุกครั้ง หากป่วยควรสวมหน้ากากอนามัย ล้าง ล้างมือบ่อยๆ ด้วยสบู่และน้ำ หรือใช้แอลกอฮอล์เจลล้างมือ โดยเฉพาะก่อนรับประทานอาหาร หลังสัมผัสสิ่งของสาธารณะ หรือหลังเข้าห้องน้ำ เลี่ยง หลีกเลี่ยงการใกล้ชิดกับผู้ป่วย หรืออยู่ในสถานที่ที่มีคนอยู่รวมกันจำนวนมาก หากหลีกเลี่ยงไม่ได้ ควรสวมหน้ากากอนามัย และหมั่นล้างมือ หยุด เมื่อมีอาการป่วย ควรหยุดเรียน หยุดงาน หยุดกิจกรรมต่างๆ จนกว่าจะหายดี แนะนำ 7 กลุ่มเสี่ยง เข้ารับวัคซีนไข้หวัดใหญ่ เพื่อกระตุ้นภูมิคุ้มกันเป็นประจำทุกปี โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายที่สถานพยาบาลของรัฐ และสถานพยาบาลเอกชนที่ร่วมโครงการ
โรคมือเท้าปาก วันที่ 1 มกราคม - 9 กันยายน 2568 มีผู้ป่วยสะสม 73,517 ราย ไม่พบผู้เสียชีวิต กลุ่มอายุที่พบผู้ป่วยมากที่สุด คือ 0 - 4 ปี ทั้งนี้ โรคมือเท้าปากมักเกิดจากเชื้อไวรัสในกลุ่ม Enterovirus มีระยะฟักตัว 3 - 5 วัน สามารถติดต่อทางตรงได้จากการสัมผัสสารคัดหลั่งของผู้ติดเชื้อ เช่น น้ำมูก น้ำลาย และอุจจาระของผู้ป่วย และติดต่อทางอ้อมจากการสัมผัสผ่านของเล่น และจุดสัมผัสร่วมกันที่อาจเป็นแหล่งแพร่กระจายเชื้อ เช่น ก๊อกน้ำดื่ม ราวบันได แนะประชาชน 1. สอนให้เด็กล้างมือด้วยน้ำและสบู่บ่อยๆ ก่อนรับประทานอาหารและเครื่องดื่ม หลังเข้าห้องน้ำ หรือหลังสัมผัสสิ่งสกปรก 2. ไม่ใช้สิ่งของส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น 3.หลีกเลี่ยงการนำเด็กเข้าไปในสถานที่แออัด ในช่วงที่มีการระบาด 4. หากพบบุตรหลานป่วย ควรแยกออกจากเด็กอื่นในครอบครัวและพาไปพบแพทย์ 5. หากเด็กป่วยควรหยุดเรียนตามคำแนะนำของแพทย์ หรือจนกว่าจะพ้นระยะของการแพร่เชื้อ คำแนะนำสำหรับสถานศึกษา 1. คัดกรองเด็กนักเรียนก่อนเข้าสถานศึกษา และแยกเด็กที่ป่วยออกจากเด็กปกติ 2. หากพบว่าเด็กป่วย ควรแจ้งให้ผู้ปกครองรับกลับไปดูแลรักษาที่บ้านจนกว่าจะหาย 3. จัดให้มีอ่างล้างมือ และสบู่ล้างมือให้เพียงพอ 4. หากพบเด็กป่วยตั้งแต่ 2 รายขึ้นไป ในห้องเดียวกันภายใน 1 สัปดาห์ ให้ปิดห้องเรียนอย่างน้อย 1 วัน เพื่อทำความสะอาด 5. ทำความสะอาดพื้นผิวสัมผัสในห้องเรียน สิ่งของเครื่องใช้ ของเล่น ด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อ หรือโซเดียมไฮโปรคลอไรด์ และควรแจ้งเจ้าหน้าที่สาธารณสุขในพื้นที่รับผิดชอบทราบ
โรคไข้เลือดออก ปี 2568 พบผู้ป่วย 42,187 ราย ผู้เสียชีวิต 44 ราย ปัจจัยเสี่ยงในผู้ป่วยเสียชีวิต คือ มีโรคประจำตัว ได้รับยา NSAIDs ไปโรงพยาบาลช้า ติดสุรา และมีภาวะน้ำหนักเกินมาตรฐาน ผู้ป่วยส่วนใหญ่เป็นวัยเรียน แต่อัตราป่วยตายสูงในอายุ 45 ปี ขึ้นไป
โรคชิคุนกุนยา (โรคไข้ปวดข้อยุงลาย) ปี 2568 พบผู้ป่วย 1,064 ราย ไม่พบผู้เสียชีวิต กลุ่มอายุที่พบอัตราป่วยมากที่สุด คือ 35 - 44 ปี ทั้งนี้ มีการพบผู้ป่วยสูงกว่าปี 2567 ถึง 2.4 เท่า โดยพบผู้ป่วยเป็นกลุ่มก้อนที่จังหวัดเชียงใหม่ บึงกาฬ ลำพูน และอุดรธานี
โรคติดเชื้อไวรัสซิกา ปี 2568 พบผู้ป่วย 175 ราย กลุ่มอายุที่พบอัตราป่วยมากที่สุด คือ 25 - 34 ปี และพบหญิงตั้งครรภ์ติดเชื้อไวรัสซิกาเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ โรคติดเชื้อไวรัสซิกาเกิดจากการติดเชื้อไวรัสซิกา โดยมียุงลายเป็นพาหะนำโรค อาการที่พบบ่อย คือ ไข้ต่ำๆ ผื่นแดง ปวดข้อ ตาแดง และอ่อนเพลีย โดยผู้ป่วยส่วนใหญ่อาการไม่รุนแรง แต่หากหญิงตั้งครรภ์ติดเชื้อ อาจส่งผลให้ทารกมีภาวะศีรษะเล็กแต่กำเนิด และความผิดปกติของสมองหลังคลอด ส่งผลต่อพัฒนาการระยะยาว แนะประชาชน สวมเสื้อผ้าให้มิดชิด ใช้ยาทากันยุง กำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย และสวมถุงยางอนามัยทุกครั้ง เมื่อมีเพศสัมพันธ์ เนื่องจากไวรัสซิกาสามารถติดต่อจากน้ำอสุจิหรือสารคัดหลั่งของผู้ป่วยได้
คำแนะนำสำหรับโรคติดต่อนำโดยยุงลาย ทายากันยุง ใส่เสื้อผ้าที่มิดชิด นอนในมุ้ง หากมีไข้สูง 1 - 2 วัน รับประทานยาลดไข้ เช็ดตัวแล้วไข้ไม่ลด ปวดศีรษะ อ่อนเพลีย หรือมีผื่นจุดแดงขึ้นตามตัว ควรรีบไปพบแพทย์ และห้ามรับประทานยาลดไข้ชนิดอื่นนอกจากพาราเซตามอล
โรคไข้หวัดนก สถานการณ์ทั่วโลก ปี 2568 มีผู้ป่วยสะสม 27 ราย ผู้เสียชีวิตสะสม 9 ราย สำหรับประเทศไทยความเสี่ยงยังอยู่ในระดับต่ำ แต่ยังต้องมีการเฝ้าระวังอย่างต่อเนื่อง แนะประชาชน รับประทานอาหารที่ปรุงสุก หลีกเลี่ยงการสัมผัสสัตว์ปีก สุกรหรือโคนม ที่ป่วยหรือตายผิดปกติ ควรสวมหน้ากากอนามัย สวมถุงมือ และล้างมือทุกครั้งหลังสัมผัส หากพบสัตว์ปีกป่วยตายจำนวนมาก ควรรีบแจ้งเจ้าหน้าที่ปศุสัตว์ หากมีอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่ เช่น ไข้ ไอ น้ำมูก หายใจเหนื่อยหอบ หรือตาแดงอักเสบ ควรรีบไปพบแพทย์ สำหรับผู้ที่จะเดินทางไปยังพื้นที่ที่มีการระบาด ต้องหมั่นติดตามข่าวสารการระบาดของพื้นที่ที่จะเดินทางไป ทำประกันสุขภาพสำหรับเดินทาง กรณีเดินทางกลับจากต่างประเทศ ให้สังเกตอาการตนเอง หากมีอาการป่วยคล้ายโรคไข้หวัดใหญ่ภายใน 2 สัปดาห์ ให้รีบไปพบแพทย์ พร้อมแจ้งประวัติการเดินทาง
โรคโปลิโอ ปี 2568 เดือนสิงหาคม มีรายงานว่าพบผู้ป่วยเชื้อโปลิโอชนิด cVDPV1 ที่แขวงสะหวันนะเขต สปป.ลาว โดยประเทศไทยพบผู้ป่วยโปลิโอรายสุดท้ายในปี 2540 ทั้งนี้ โรคโปลิโอเป็นโรคที่เกิดขึ้นในคนเท่านั้น เชื้อจะอาศัยอยู่ในลำไส้และถูกขับออกมาจากอุจจาระของผู้ป่วย ผู้ที่ติดเชื้อส่วนใหญ่มักจะไม่แสดงอาการใดๆ หรือมีอาการเพียงเล็กน้อย ในกรณีรุนแรงเชื้อไวรัสจะเข้าทำลายระบบประสาทไขสันหลังและสมอง ทำให้เกิดอาการอัมพาตได้ ปัจจุบันโรคโปลิโอยังไม่มียารักษาให้หายขาดเป็นการรักษาตามอาการ แนะประชาชน 1. ผู้ปกครองควรพาบุตรหลานเข้ารับวัคซีนเข้ารับวัคซีนป้องกันโรคโปลิโอ ซึ่งเป็นการป้องกันที่สำคัญที่สุด โดยแนะนำให้รับวัคซีนชนิดฉีด (IPV) จำนวน 2 ครั้ง ในเด็กอายุ 2 และ 4 เดือน และให้วัคซีนชนิดรับประทาน (OPV) จำนวน 3 ครั้ง ในเด็กอายุ 6 เดือน 1 ปี 6 เดือน และ 4 ปี 2. สำหรับเด็กที่ไม่ได้รับวัคซีน หรือได้รับวัคซีนล่าช้า ควรเข้ารับวัคซีนให้ครบเร็วที่สุด ที่สถานบริการสาธารณสุขของรัฐใกล้บ้านทุกแห่ง เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันและป้องกันการเกิดโรค สำหรับผู้ที่ต้องเดินทางไปยังประเทศที่มีการระบาดของโรคโปลิโอ หากมีประวัติรับวัคซีนไม่ครบ แนะนำรับวัคซีนกระตุ้น 1 ครั้ง ก่อนเดินทางอย่างน้อย 4 สัปดาห์
โรคเลปโตสไปโรสิส (โรคไข้ฉี่หนู) วันที่ 1 มกราคม - 4 กันยายน 2568 ผู้ป่วยสะสม 2,631 ราย ผู้เสียชีวิต 32 ราย กลุ่มอายุที่พบผู้ป่วยและผู้เสียชีวิตมากที่สุด คือ 60 ปีขึ้นไป แนะประชาชน 1. สวมรองเท้าบู๊ตขณะลุยน้ำท่วมขังหรือย่ำดินแฉะ และหากต้องทำความสะอาดบ้านหลังน้ำลด ควรสวมถุงมือยางร่วมด้วย 2. หลังทำความสะอาดบ้านหรือลงแช่น้ำให้รีบล้างมือ ล้างเท้า หรืออาบน้ำด้วยสบู่และน้ำสะอาดทันที 3. หากพบว่ามีไข้สูง ปวดศีรษะ หนาวสั่น ปวดเมื่อยตัวหรือปวดกล้ามเนื้อ หลังเดินลุยน้ำย่ำโคลนหรือลงแช่น้ำ ภายใน 1 - 2 สัปดาห์ ให้รีบไปพบแพทย์ทันที และแจ้งประวัติ
การเดินลุยน้ำย่ำโคลนให้แพทย์ทราบ
โรคเมลิออยโดสิส (โรคไข้ดิน) วันที่ 1 มกราคม - 29 สิงหาคม 2568 พบผู้ป่วยสะสม 2,782 ราย ผู้เสียชีวิต 130 ราย พบผู้ป่วยและผู้เสียชีวิตมากที่สุดในกลุ่มอายุ 60 ปีขึ้นไป แนะประชาชน 1. หลีกเลี่ยงการเดินลุยน้ำย่ำโคลนหรือสัมผัสดินและน้ำโดยตรงหากจำเป็นควรสวมรองเท้าบู๊ต ถุงมือยาง กางเกงขายาวหรือชุดลุยน้ำ 2. หลังสัมผัสดินและน้ำให้ทำความสะอาดร่างกายด้วยสบู่และน้ำสะอาดทันที 3. รับประทานอาหารปรุงสุก ดื่มน้ำในบรรจุภัณฑ์ที่ได้มาตรฐานหรือน้ำต้มสุก 4. หลีกเลี่ยงการสูดดมลมฝุ่นและการอยู่กลางสายฝน 5. หากมีอาการไข้สูงต่อเนื่อง 2 วัน มีประวัติการสัมผัสดินและน้ำ ให้รีบพบแพทย์ทันที
ไฟดูด ไฟช็อต ปี 2568 มีผู้บาดเจ็บ 1,603 ราย ผู้เสียชีวิต 88 ราย พบผู้บาดเจ็บและผู้เสียชีวิตมากที่สุดในกลุ่มอายุ 25 - 29 ปี แนะประชาชน ยึดหลัก 4 ย. “โยก ย้าย อย่า หยุด” โยก คือ โยกปิดสายไฟลงทันที เมื่อเกิดน้ำท่วม ย้าย คือ ย้ายเครื่องใช้ไฟฟ้าก่อนน้ำท่วม เพราะอาจมีกระแสไฟฟ้ารั่ว อย่า คือ อย่าแตะสวิตช์ไฟ ไม่เดินเข้าใกล้อุปกรณ์ไฟฟ้า เครื่องใช้ไฟฟ้า และเสาเหล็กที่เป็นสื่อนำไฟฟ้า ขณะที่ร่างกายเปียก หยุด คือ หยุดใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าที่น้ำท่วม ควรให้ช่างตรวจสอบก่อน
ฟ้าผ่า ปี 2568 มีผู้บาดเจ็บ 58 ราย ผู้เสียชีวิต 5 ราย พบผู้บาดเจ็บและผู้เสียชีวิตมากที่สุดในกลุ่มอายุ 45 - 49 ปี แนะประชาชน 1. เมื่อฝนกำลังจะตกให้กลับเข้าที่พัก 2. หากอยู่ในรถให้ปิดกระจกให้มิดชิด 3. ห้ามอยู่ใกล้ต้นไม้ เสาไฟฟ้าหรือป้ายโฆษณาขนาดใหญ่ 4. หากหาที่หลบไม่ได้ให้นั่งยองๆ ก้มศีรษะให้ตัวอยู่ต่ำที่สุด เท้าชิดกัน และเขย่งปลายเท้าเล็กน้อย ใช้มือปิดหู 5. หลีกเสี่ยงการทำกิจกรรมกลางแจ้งในขณะที่มีพายุฝนฟ้าคะนอง
วันหัวใจโลก ตรงกับวันที่ 29 กันยายนของทุกปี โดยในปี 2568 นี้ สมาพันธ์หัวใจโลกได้กำหนดประเด็นการรณรงค์ คือ Don't miss a beat : อย่าพลาดจังหวะหัวใจ เพราะการดูแลหัวใจทุกวินาทีมีค่าและทุกจังหวะหัวใจคือชีวิต มุ่งเน้นให้ประชาชนออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอและเลือกรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพเพื่อป้องกันการเกิดโรคหัวใจ จากสถานการณ์ทั่วโลกพบว่ามีผู้เสียชีวิตจากโรคหัวใจและหลอดเลือดมากถึง 20.5 ล้านคน และ 1 ใน 5 เป็นการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรที่สามารถป้องกันได้ สำหรับประเทศไทย มีผู้ป่วยสะสมโรคหัวใจและหลอดเลือดมากถึง 2.6 แสนคน และมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นในแต่ละปี แนะประชาชน 1. รับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ ตามหลัก 2:1:1 ผัก 2 ส่วน ข้าว 1 ส่วน เนื้อสัตว์ 1 ส่วน ลดไขมัน โซเดียม และน้ำตาล 2. ควบคุมน้ำหนัก ให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ 3. งดสูบบุหรี่ บุหรี่ไฟฟ้า และงดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ 4. ควรจัดการความเครียด และพักผ่อนให้เพียงพอ รวมทั้งตรวจสุขภาพประจำปี เพื่อค้นหาปัจจัยเสี่ยง เช่น ความดันโลหิตสูง เบาหวาน และไขมันในเลือดสูง