บอร์ด สปสช. หนุนอุตสาหกรรมการแพทย์ไทยต่อเนื่อง เพิ่มนวัตกรรม ชุดยางรัดเส้นเลือดขอดในหลอดอาหาร ในระบบบัตรทอง
×
“รมว.พัฒนา” เผย บอร์ด สปสช. หนุนอุตสาหกรรมการแพทย์ไทยอย่างต่อเนื่อง เพิ่ม “ชุดยางรัดเส้นเลือดขอดในหลอดอาหาร” ในบัญชีนวัตกรรมไทย เพื่อเบิกจ่ายดูแลผู้ป่วยสิทธิบัตรทอง มีประสิทธิผลการรักษาเทียบเท่าต่างประเทศ ช่วยประหยัดงบประมาณกว่า 14 ล้านบาท
นายพัฒนา พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า ในการประชุมคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บอร์ด สปสช.) ครั้งที่ 11/2568 เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2568 ที่ผ่านมา ที่ประชุมได้เห็นชอบ “ข้อเสนอการสนับสนุนชุดยางรัดเส้นเลือดขอดในหลอดอาหารที่อยู่ในบัญชีนวัตกรรมไทย” ให้เป็นรายการเบิกจ่ายในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง 30 บาท) สำหรับปีงบประมาณ 2569 จำนวน 7,000 ชุด ภายในวงเงิน 17.5 ล้านบาท โดยผู้เชี่ยวชาญจากสมาคมแพทย์ระบบทางเดินอาหารแห่งประเทศไทยยืนยันว่า อุปกรณ์ดังกล่าวในบัญชีนวัตกรรมไทยมีคุณภาพเทียบเท่ากับผลิตภัณฑ์ที่จำหน่ายในท้องตลาดทั่วไปที่นำเข้าจากต่างประเทศ ซึ่งการเพิ่มรายการอุปกรณ์ดังกล่าว จะช่วยประหยัดงบประมาณในระบบบัตรทองได้ถึง 14 ล้านบาท จากเดิมในปีงบประมาณ 2567 ที่มีการเบิกจ่าย “ชุดยางรัดเส้นเลือดขอดในหลอดอาหาร” ในราคาชุดละ 4,500 บาท ใช้จริงกับผู้ป่วย 6,859 ชุด รวมงบประมาณ 30.8 ล้านบาท โดยในปี 2569 ได้มอบให้ สปสช. จัดซื้อรวมผ่านโรงพยาบาลราชวิถี จำนวน 7,000 ชุด กระจายให้หน่วยบริการในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติทั่วประเทศ และหากผู้รับบริการไม่สามารถใช้ตามเงื่อนไขที่กำหนดได้ หน่วยบริการยังสามารถเบิกจ่ายค่าบริการตามอัตราที่โรงพยาบาลราชวิถีจัดหาได้
ด้าน นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ กล่าวว่า ในที่ประชุมยังได้มอบหมายให้เพิ่มการสนับสนุนสินค้าบริการทางการแพทย์และสาธารณสุขที่ผลิตในประเทศ รวมถึงสินค้าที่มีการร่วมทุนและถ่ายทอดเทคโนโลยีจากต่างประเทศ เพื่อส่งเสริมความมั่นคงด้านยา วัคซีน และอุปกรณ์ทางการแพทย์ของประเทศ โดยพิจารณาทั้งด้านคุณภาพ มาตรฐาน ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ และการผลิตในประเทศ เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้พ้นกับดักประเทศรายได้ปานกลาง (middle income country) ในอนาคต
เลขาธิการ สปสช. กล่าวว่า ตนได้รับการประสานมาว่านักธุรกิจต่างชาติมีความสนใจในการเข้ามาลงทุนผลิตหรือวิจัยในประเทศไทย ทั้งในรูปแบบการร่วมทุนกับภาครัฐและเอกชน ซึ่งต้องการความมั่นใจว่าจะมีตลาดรองรับผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่อง โดย มติของบอร์ด สปสช. ในครั้งนี้ ถือเป็นกลไกสำคัญที่ช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนต่างชาติ และส่งเสริมให้อุตสาหกรรมการแพทย์ไทยเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน